วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ทัณฑ์จันทรา

วิพากษ์หนังสือ


ผู้แต่ง - นภาสรร
สำนักพิมพ์ - พิมพ์คำ
พิมพ์ครั้งแรก - มิถุนายน 2557
วิพากย์โดย – นางสาวรติกร    พิกุล  รหัส 58243959

มาธวี นักโบราณคดีสาว ถูก 'เทวรูปเสี้ยวจันทรา' ตามหลอกหลอนในฝัน ทั้งยังรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดและเสียงปืนได้ชัดเจนราวกับเกิดขึ้นจริง หญิงสาวเฝ้าสงสัยเหตุการณ์ในฝันมาตลอด กระทั่งวันหนึ่ง สองผู้เฒ่าเผ่าปะหล่องก็มาพบเธอที่ที่ทำงาน เธอจึงได้รู้ว่า บุพการีผู้ล่วงลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้เทวรูปประจำเผ่าหายไป ชายชราขอให้เธอออกตามเทวรูปนี้ให้เจอก่อนพิธีบูชาผีเจ้าที่ หากภารกิจนี้ล้มเหลว เธอจะต้องถูกบูชายัญเพื่อชดใช้ความผิดของบิดามารดาแทน เมื่อต้องเผชิญอันตรายรอบด้าน ทั้งยังมีปัญหาหัวใจที่แก้ไม่ตก เพราะต้องเลือกระหว่างชายหนุ่มผู้แสนดีกับชายหนุ่มผู้ร่วมเสี่ยงภัย มาธวีไม่อาจคาดการณ์ได้เลยว่าบทสรุปของภารกิจนี้จะจบลงเช่นไร คำสาปที่ฉุดรั้งวิญญาณบุพการีไว้จะสูญสลาย ฤาเธอต้องกลายเป็นผู้ถูกสังเวยเพื่อชดใช้หนี้กรรมทั้งหมดเอง



-          แง่มุมด้านครอบครัว
มาธวีกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่อายุได้เพียงแค่ไม่กี่วัน เธอเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูจาก มณีรัตน์ พี่สาวของพ่อ โดยมี ดร.เรืองฤทธิ์ อดีตเจ้านายของพ่อเป็นคนส่งเสียค่าใช้จ่าย แต่มาธวีไม่ได้รู้สึกขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัวที่เก็บเธอมาเลี้ยงเลย เป็นเพราะพวกเขาต่างเอาใจใส่และเลี้ยงดูมาธวีด้วยความรักแบบครอบครัวจริงๆ ดูแล และสั่งสอนให้เติบโตมาในทางที่ดี

-          แง่มุมด้านวัฒนธรรม
มนัส พ่อของมาธวีเป็นนักโบราณคดีที่ได้พบรักกับ แสงคำแม่ของเธอเป็นชาวเผ่าปะหล่อง ทั้งสองกระทำ 'ผิดผี' จนแม่ตั้งท้องเธอขึ้นมา นั่นทำให้คนในเผ่าโกรธมาก และแยกพ่อกับแม่ของเธอออกจากกัน...เพราะตามคำทำนายและวัฒนธรรมของเผ่า หากผู้ใดทำผิดจารีตประเพณีจะทำให้ 'เทวรูปเสี้ยวจันทรา' สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหายสาปสูญไป และจะนำมาซึ่งหายนะของเผ่าปะหล่อง

-          แง่มุมด้านอารมย์และจิตใจ
สองผู้เฒ่าเผ่าปะหล่องเดินทางมาหามาธวีถึงที่ทำงาน นางเอกจึงได้รู้ความจริงว่าพ่อและแม่เธอมีส่วนทำให้เทวรูป ประจำเผ่าหายไป นางเอกจึงต้องเป็นคนไปนำกลับคืน และ หากภารกิจนี้ล้มเหลว เธอจะต้องถูกบูชายัญเพื่อชดใช้ความผิดแทนพ่อแม่ ทำให้มาธวีเกิดความกลัวและเสียขวัญ จึงต้องเริ่มออกตามหาเทวรูปตามคำขู่ของสองเฒ่าโดยเร็วที่สุด

-          แง่ด้านการวางแผน
ทีมสายสืบตามหาเทวรูปขิงมาธวีได้เริ่มจัดการวางแผนลิสต์รายชื่อผู้ต้องสงสัยว่าจะมีเทวรูปเสี้ยวจันทราอยู่ในครอบครองมา ซึ่งทั้ง 3 รายล้วนแล้วแต่เป็นมหาเศรษฐีผู้มีอิทธิพลทั้งสิ้น และต่างก็ชอบสะสมวัตถุโบราณ แน่นอนว่าพวกเขาและเธอไม่สามารถเดินดุ่มๆเข้าไปสืบค้นในบ้านของคนเหล่านี้ได้แน่ จึงต้องทำการวางแผนแบบรอบครอบที่สุด งานนี้จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหมายถึงชีวิตของมาธวีเลย!

-          แง่มุมด้านความสัมพันธ์

มาธวีเรียนจบและทำงานที่สำนักโบราณคดี โดยมี วัชรพล บุตรชายคนเดียวของดร.เรืองฤทธิ์เป็นหัวหน้าของเธอ แต่กลับต้องอึดอัดกับการกระทำของวัชรพล ที่แสดงออกว่ารักเธอ ในขณะที่มาธวีคิดกับเขาเพียงแค่พี่ชายมาตลอดตั้งแต่เด็ก การแสดงออกของวัชรพลทำให้ พนิดา เพื่อนร่วมงานของเธอที่แอบชอบชายหนุ่มอยู่ไม่พอใจ และพยายามแย่งทุนจากรัฐบาลพม่าที่มาธวีเสนอขอเพื่อค้นหาเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปะหล่อง ความสัมพันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากความหลงใหล ซึ่งตอนจบต้องที่ทั้งคนที่สมหวังและเสียใจ เป็นจุดทำให้เกิดอารมย์รัก โลภ โกรธ หลง และความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง

ย้อนเวลาหยุดสงครามนิวเคลียร์ A Swiftly Tiltly Planet

วิพากษ์หนังสือ


หนังสือเรื่อง : ย้อนเวลาหยุดสงครามนิวเคลียร์ A Swiftly Tiltly Planet
ผู้เขียน : Madeleine L’Engle
ผู้แปล : สมพร  วาร์นาโด
พิมพ์ที่ : สำนักพิมพ์มติชน
วิพากษ์โดย : นางสาว ปิ่นปฐวี  สุขมาก

    ย้อนเวลาหยุดสงครามนิวเคลียร์เป็นวรรณกรรมที่เยาวชนนับว่าเป็นนวนิยายแฟนตาซีผู้เขียน
แมเดอลีน  เลงเกิล ตั้งใจสร้างสรรค์ให้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเวลาเหนือจินตนาการมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งเธอเป็นสาวน้อยที่เติบโตจนได้แต่งงานกับชายคนหนึ่งและหลังจากนั้นก็ทำได้ความรู้จักกับครอบครัวของเขาก่อนที่เธอจะกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวของเขานั้นพ่อของสามีเธอมีคำสั่งให้เธอและเขาหยุดมหาสงครามนิวเคลียร์ ที่กำลังจะระเบิดขึ้นโดยเขาและเธอโดนผู้บังคับเผด็จการบ้าอำนาจสั่งให้หยุดสงครามนี้เรื่องราวทั้งหมดเลยเป็นความ ประหลาดเกิดขึ้นทำให้เธอต้องผจญภัยข้ามมิติอีกครั้งเธอและเขาได้หลุดเข้าไปในห้วงเวลาสู่ในอดีต ณ ลานหินชมดาว
และพร้อมกับการกู้โลกครั้งนี้การเดินทางข้ามเวลาข้ามมิติเธอและเขาสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ

แง่มุมที่ 1 การเดินเรื่อง
           การดำเนินเรื่องทำให้ผู้อ่านคิดและผูกปมเป็นตอนๆทำให้อยากรู้คำตอบหรือเงื่อนงำของเรื่องว่าสรุปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปโดยการดำเนินเรื่องมีเป็นตอนๆมีทั้งหมด12ตอนในหนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายแฟนตาซีที่เกี่ยวข้องการท่องเที่ยวในกาลเวลาเหนือจินตนาการเกี่ยวกับการวางแผนในการทำภารกิจของเรื่องให้สำเร็จและฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้

แง่มุมที่ 2 การบรรยาย
           ผู้เขียนใช้ตัวละคร ชาร์ลส์ วอลเลช เด็กชายอายุสิบห้ากับยูนิคอร์นออกเดินทางฝ่าอันตรายข้ามมิติเวลาเพื่อพิทักษ์โลกจากหายนะพร้อมด้วยคาถาโบราณจากคุณนายโอคีฟหญิงชราผู้กุมความลับจุดสำคัญคือแก่นอันเป็นสาระของเรื่องและผู้เขียนเธอชอบบรรยายเพื่อกระตุ้นแนวคิดเกี่ยวกับความรักอันเป็นสากลการรู้จักเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นและการใช้ชีวิตแบบอย่างมีความสุข

แง่มุมที่  3 สำนวนภาษา
           การใช้สำนวนภาษาและโครงเรื่องอยู่ในระดับดีและชัดเจนในเรื่องของการใช้คำหรือภาษาที่อ่านแล้วสามารถจับใจความสำคัญหรือประโยคได้เข้าใจเนื้อเรื่องได้อย่างชัดเจนและยังสามารถนำมาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ในเนื้อเรื่องได้อีกหลายแง่มุมเช่นกัน

แง่มุมที่ 4 จุดเด่นในเรื่อง
      ในโลกของจินตนาการแฟนตาซีกับโลกวิทยาศาสตร์แฟนตาซีภายในเรื่องแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดจินตาการจากผู้เขียนสะท้อนถึงความห่วงใยอาทรกับเพื่อนร่วมโลก ร่วมจักรวาล ร่วมเริงระบำ เพลิดเพลินกับดนตรีประสานในโลกของจินตนาการในแต่ยุคแต่ละสมัยทำให้ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะความรักที่เป็นสากลและความสุข

แง่มุมที่ 5 ตัวละคร

           บทบาทของตัวละครในเรื่องผู้เขียนสามารถเขียนถึงและบรรยายบุคลิกและลักษณะของตัวละครได้อย่างดีและเชื่อมโยงกับเรื่องโดยบรรยายบุคลิกของตัวละครได้เข้ากับสถานการณ์ในแต่ละตอนของเรื่องทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจและเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องได้ดี

น้ำสูง

วิพากษ์หนังสือ


หนังสือเรื่อง : น้ำสูง
ผู้เขียน : จัตวาลักษณ์
พิมพ์ที่ : พงษ์วรินการพิมพ์
วิพากษ์โดย : นางสาว ณาริษา กระจอนกลิ่น

          เรื่องน้ำสูงเป็นเหมือนการอ่านบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของไทย เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปีพ.2554 ในบางส่วนถูกนำเสนอผ่านตัวละครหลายตัว แม้ผู้เขียนจะไม่สามารถเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ครบ ไม่ได้นำเสนอต้นสายปลายเหตุและการแก้ไข แต่ก็มีความน่าสนใจหลายแง่มุม อ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนได้รื้อฟื้นคงามหลังที่เจ็บปวด โหดร้าย และการวางแผนแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ และรวมไปถึงความหวังและการรับรู้ถึงน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ ทำให้เกิดความหวังและความสุขแม้ในช่วงทุกข์ยาก
          น้ำสูง นำสถานการณ์มหาอุทกภัยเมื่อสี่ห้าปีที่ผ่านมานี้มาเป็นฉากและเนื้อเรื่องด้วยการนำเสนอแนวคิดว่าแม้น้ำท่วมจะทำให้คนทุกข์ยากแสนสาหัส แต่ท่ามกลางปัญหาและการวางแผนเอาตัวรอดก็มีเรื่องราวดีๆ ที่อาจเปลี่ยนจิตใจมนุษย์ให้เห็นอกเห็นใจกัน ผู้เขียนไม่ใช่บรรยายเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโครงเรื่องให้ชวนติดตาม ตื่นเต้นและคาดเดาเหตุการณ์ไม่ถูก มีทั้งเรื่องราวโลดโผน เรื่องผจญภัยแบบมมหัศจรรย์และปัญหาของผู้คนในยามวิกฤต การพลัดพรากและการตามหาซึ่งแสดงถึงความรักและความผูกพันในครอบครัว ความแตกต่างทางฐานะชนชั้น เรื่องราวรักแรกพบในยามวิกฤต ทั้งหมดผู้เขียนนำมาผสมผสานกันอยู่ในเรื่องราวเหตุการณ์เดียวกัน จึงกล่าวได้ว่านวนิยายเรื่องน้ำสูง มีหลายรส หลายอารมณ์ และหลายแนวรวมอยู่ด้วยกัน ผู้เขียนเน้นย้ำแนวคิดสำคัญในท่ามกลางวิกฤต มนุษย์อาจได้พบความดีงามในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความรัก ความเอื้ออาทรต่อกีนของมนุษย์จะทำให้คนที่มองโลกในแง่ร้ายอาจพบแง่งามของความเป็นมนุษย์ได้
          แง่มุมที่ 1 การเดินเรื่อง
                   การดำเนินเรื่องผูกปมให้ชวนติดตาม ผู้เขียนมีความสามารถในการเล่าเรื่องและผูกเรื่องราวหลายรส หลายแนวเข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตาม ผู้เขียนเล่าแง่มุมอันงดงามในความโหดร้ายของภัยธรรมชาติมาถ่ายทอดผ่านนวนิยายชีวิตได้อย่างลุ่มลึก และยังไม่ทิ้งความตื่นเต้นเร้าใจอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ในท้ายของเรื่องผู้วิพากษ์มีความเห็นว่าการจบแบบเร็วเกินไป โดยที่เนื้อเรื่องตอนแรกค่อยๆ วางเนื้อเรื่องอย่างละเอียดทุกฉากเข้าด้วยกัน แต่พอตอนท้ายกลับจบด่วนสรุปเกินไป
          แง่มุมที่ 2 บทร้อยกรองกลบท ( สำนวนภาษา )
                   สำนวนภาษาอยู่ในระดับดี โครงเรื่องชัดเจนทำได้ตามจุดหมาย สามารถนำข้อมูลประสบการณ์น้ำท่วมมาแปรเป็นสถานการณ์ให้มีทั้งเนื้อหาเนื้อเรื่องและมิติชีวิตได้อย่างมีจุดหมายในเชิงสร้างสรรค์สังคม
          แง่มุมที่ 3 การบรรยาย
                   การที่ผู้เขียนใช้ตัวละครเอิร์ธ เด็กชายวัยประถมที่มีความรักและความเชื่อ ความศรัทธาในครอบครัวของเขาเอง ผู้ที่มองแง่ดีมาตลอดต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกับชายชรา อายุราว 60 กว่าปีที่มองโลกในแง่ร้ายมาโดยตลอด ผู้เขียนบรรยายตัวละครทั้งสองตัวนี้ได้อย่างมีเหตุมีผลทำให้ฉากที่กล่าวถึงทั้งสองตัวละคร มีความลุ้นและน่าติดตามตลอดเวลา
          แง่มุมที่ 4 ประวัติศาสตร์
                   ในเรื่องมีการอ้างอิงนำสถานการณ์น้ำท่วมในปี พ.2554 ในบางส่วนถุกนำเสนอผ่านตัวละครหลายตัว เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จังหวัดปธุมธานีอำภอสามโคก ซึ้งเป็นจุดสำคัญของเรื่อง ถึงผู้เขียนจะไม่ได้นำเสนอต้นสายปลายเหตุและการแก้ไขปัญหา แต่ในควาคิดของผู้วิพากษ์ก็ยังมีความน่าสนใจในหลายมุม
          แง่มุมที่ 5 ตัวละคร
                   บทบาทตัวละครผู้เขียนสามารถเขียนบรรยายบุคลิกลักษณะของตัวละครได้เชื่อมโชงกัน เนื้อเรื่องมีการเขียนบรรยายตัวละครแต่ละตัวว่ามีบุคลิกที่เหมาะสมกับสถานณ์ในตอนไหนหรือเหมาะสมกับตัวละครไหนได้อย่างดี พออ่านแล้วจินตนาการเกิดภาพตามผู้เขียนบรรยาย

                   

สามก๊ก ฉบับนายทุน ตอน โจโฉ นายกฯ-ตลอดกาล



วิพากษ์หนังสือ



วิพากษ์หนังสือ สามก๊ก ฉบับนายทุน ตอน โจโฉ นายกฯ-ตลอดกาล
ผู้เขียน: ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
สำนักพิมพ์: ดอกหญ้า 2000
พิมพ์ครั้งแรก: พ.ศ.2494
วิพากษ์โดย นายจิรายุ โอวัฒนะสิน                           
สามก๊กนับเป็นสุดยอดของวรรณกรรมจีน อภิมหากาพย์แห่งไฟสงครามที่แต่ละก๊กมีความต้องการจะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว โดยสามก๊กฉบับอื่น ๆ มักจะเขียนให้วุยก๊ก ก๊กของโจโฉให้เป็นผู้ร้าย แล้วจ๊กก๊ก ก๊กของเล่าปี่เป็นพ่อพระ ซึ้งหนังสือเล่นนี้ นับเป็นการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสามก๊กที่แตกต่างจากเล่มอื่น ๆ โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเรื่องราวตั้งแต่ โจโฉยังเป็นผู้พันทหารม้าจนถึงตำแหน่งสูงสุดสมุหนายก ที่มีอำนาจล้นฟ้าเทียบเท่ากับองค์ฮ่องเต้ ผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน
มุมมองต่าง ๆ ของหนังสือเล่มนี้ที่สื่อให้ผู้อ่านได้เห็น ซึ้งผู้วิพากษ์จะแบ่งออกเป็น 5 มุมดั้งนี้
1.คุณธรรม
โจโฉนับเป็นคนแรก ๆ ตั้งแต่เริ่มเรื่องของวรรณกรรมสามก๊ก ที่เล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดในราชสำนัก ราชวงศ์ฮั่น ที่ตั้งแต่ยุคขันทีเรืองอำนาจจนถึงตั๋งโต๊ะตั้งต้นเป็นใหญ่ โจโฉเป็นผู้แรกที่คิดจะสังหาร ทรราชตั๋งโต๊ะเพื่อหวังจะฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นที่เสื่อมทราม ซึ้งถ้าธรรมดาทั่วไป เรื่องที่เกี่ยวพันการบ้านเมืองที่อยู่ในช่วงวิกฤตจะมีสักกี่คนที่จะเข้ามาจัดการ แม้ตัวเองมีกำลังน้อยนิดก็ตาม โดยส่วนใหญ่ก็จะเอาตัวรอดไว้ก่อนเพื่อความสุขสบายส่วนตน หรือตอนที่จูล่งฝ่าทัพโจโฉเพื่อช่วยอาเต๊าบุตรของเล่าปี่ที่ยังเป็นเด็กทารก จูล่งได้เอาอาเต๊าห่อผ้าแล้วผูกคอขึ้นม้าเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป โจโฉได้ยืนดูการรบอยู่บนภูเขา เห็นจูล่งอุ้มเด็กรบอยู่คนเดียว ก็ก็ได้สั่งห้ามทหารยิงธนูใส่ จูล่งจึงพาอาเต๊ากลับไปหาเล่าปี่ได้อย่างปลอดภัย
2.การเลือกใช้คน
โจโฉนับเป็นผู้นำที่ความคิดแปลกและแตกต่างจากผู้นำก๊กอื่น ๆ ในการคิดอ่านใช้คนในการทำศึกสงครามก็ดี หรืองานราชการก็ดี จากเหตุการณ์ล่อกวนอูมาติดกับให้มารับราชการ โจโฉนั้นรู้ดีว่ากวนอูเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมสูงส่ง แต่กระนั้นแล้ว โจโฉก็ทำทุกวิธีทางเพื่อซื้อใจกวดอูมารับใช้ให้ได้ท้ายสุดก็ไม่เป็นผล มีประโยคหนึ่งในหนังสือกล่าวว่า คิดขึ้นมาแล้วก็น่าสงสารโจโฉที่พยายามทุกวิถีทางที่จะหาคนดีมาใช้ในราชการ...โจโฉจึงนับว่าเป็นคนอาภัพในเรื่องบริวารอยู่มาก หรือครั้งที่แม่ทัพ แฮหัวตุ้น แพ้กลศึกที่ขงเบ้งวางไว้ พอตนแพ้ก็ได้สั่งให้ทหารเอาเชือกมัดตัวเองไว้แล้วกลับไปรับโทษกับโจโฉ แต่กระนั้นแล้วโจโฉได้สั่งให้แก้มัด แล้วมีคำสั่งว่า ให้เตรียมทัพใหญ่ ทหารห้าแสน เตรียมบุกปรามหัวเมืองภาคใต้ด้วยตนเอง นี่จึงแสดงให้เห็นว่าโจโฉ เป็นผู้นำที่เข้าใจลูกน้องเป็นอย่างดี เข้าใจในวิธีการซื้อใจอย่างแท้จริง
3.การวางตัว รู้จักที่ยืนของตัวเอง
ผู้พันทหารม้าสู่สมุหนายก โจโฉเรียกได้ว่ามีการพัฒนาการตำแหน่งได้รวดเร็วพอสมควร จาการสร้างผลงานให้รับราชสำนัก อีกทั้งเป็นผู้นำปราบกฎบก็ดี ช่วยเหลือราชวงศ์ก็ดี ครั้งหนึ่งหลังทำศึกปราบง่อก๊ก ก๊กของชุนกวนเสร็จ ฮ่องเต้ได้ประทานรางวัลให้ คือ โจโฉได้สิทธิ์พิเศษไม่ต้องเข้าร่วมประชุมขุนนางตอนที่ท้องพระโรงจะเข้าเฝ้าก็ต่อเมื่อมีคำสั่งให้เข้าเฝ้า สามารถพกอาวุธเข้าเขตพระราชฐานได้และเมื่อเจอฮ่องเต้ก็ไม่ต้องถวายบังคม นี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการให้เกียรติของฮ่องเต้ที่มีต่อโจโฉผู้ที่ช่วยเหลือราชวงศ์ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ตัวเองนั้นไม่ได้ต้องการจะเป็นฮ่องเต้ เพียงแต่ต้องการเป็นขุนนางที่ช่วยเหลือฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น ความว่า ...บัดนี้เรามีใจกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ คิดจะปราบปรามให้แผ่นดินเป็นสุข ความชอบจะได้ปรากฏไปข้างหน้า ว่าเราได้เป็นนายทหารช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้สมบัติก็สมความคิดเราอยู่แล้ว...เป็นบ้างส่วนของประโยคที่โจโฉพูดกับแม่ทัพ ทหารนายกอง หลังแตกทัพเรือ
4.หักหลัง เอาตัวรอด คือ วิถีสู่ความยิ่งใหญ่ !?
ข้ายอมทรยศต่อคนทั้งแผ่นดิน แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทรยศข้าคำพูดนี้ฟัง ๆ ดูก็เหมือนธรรมดา ๆ แต่ถ้าคิดลงไปอีกก็จะพบว่า เหมือนกับคนที่ถือดาบพร้อมที่จะฆ่าคนทั้งแผ่นดิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเองไว้ หลายครั้งที่โจโฉพร้อมที่จะกำจัดหองข้างแคร่ทุกเมื่อ เพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ ไม่ว่าจะเป็นญาติ แม่ทัพนายกองคนไหนที่สงสัย แม้แต่แกล้งละเมอฆ่าคนรับใช้ตัวเอง ที่ทำงานมากว่าสิบปี เพื่อขู่ทหารที่เฝ้าเวรยาม
5.นายกฯตลอดกาล

ช่วงบั้นปลายชีวิต โจโฉป่วยเป็นไมเกรน มีอาการปวดหัวอยู่เรื่อย ๆ อาการป่วยก็หนักขึ้นทุกวัน นอนไม่หลับทำให้เพ้อถึงคนที่ตนเคยฆ่า เพราะด้วยความจำเป็นแต่เมื่อทำไปแล้วไม่สบายใจถึงเป็นเช่นนี้ทำศึกมาสามสิบกว่าปี ข้าศึกเหนือ ใต้ ออก ตก ก็ไปปราบ คงเหลือแต่ เล่าปี่ ซุนกวน ที่ยังปราบไม่สำเร็จ และได้ฝากฝั่งขุนนางที่เหลือให้ช่วยทำการใหญ่ให้สำเร็จ ท้ายสุดก็สิ้นชีพในตำแหน่ง และได้ยังสั่งให้สร้างสุสานของตน เจ็ดสิบแห่ง ป้องกันไม่ให้ศัตรูรู้ที่ตั้งแท้จริง เพื่อที่จะได้ไม่ให้ขุดเอาศพของตนมาทำการประจาน เป็นเรื่องธรรมดาที่โจโฉมีปรปักษ์มาก เพราะอุดมการณ์ความตั้งใจที่จะรวบรวมแผ่นดินนั้น ย่อมต้องขัดผลประโยชน์กับคนบางกลุ่มแน่นอน จะเห็นได้ว่าโจโฉนั้นเป็นคนธรรมดา ทั่วๆไปย่อมประกอบไปด้วยความโกรธ โลภ หลงและความปรารถนาต่าง ๆ กิเลสต่าง ๆ เหล่านี้โจโฉปฎิบัติเป็นครั้งคราว ความคิดที่ผิดพลาดไปก็ไม่ได้มากน้อยกว่าคนอื่น ๆ เท่าไหร่ จึงทำให้เจตนาดีของโจโฉที่ต้องการทำนุบำรุงบ้านเมือง ถูกบดบังโดยฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ นี่เป็นเพียงมุมมองส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ ที่ได้เขียนเรื่องราวของโจโฉผู้ที่เป็นนายกฯตลอดกาล

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โลกสวยที่น้ำใส

วิพากษ์หนังสือ


หนังสือเรื่อง : โลกสวยที่น้ำใส
ผู้เขียน : ชัยกร หาญไฟฟ้า
พิมพ์ที่ : กรุงเทพฯ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
วิพากษ์โดย : นางสาว สุภลักษณ์ ไม้ส้มซ่า
          เด็กชายเขตแดนติดตามพ่อผู้เป็นวิศวกรไปทำงานก่อสร้างสนามบินที่หมู่บ้านน้ำใส ทำให้เด็กชายเขตแดนต้องเข้าเรียนภาคฤดูร้อนที่โรงเรียนประจำชุมชนบ้านน้ำใสเพื่อใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้คุ้มค่า เด็กชายเขตแดนสนิทสนมกับพ่อเขามากเพราะเขาได้เสียแม่ไปเมื่อ3ปีก่อน แม่ของเขตแดนเป็นคนรักต้นไม้ถึงแม้บ้านของเขตแดนจะอยู่ในกรุงเทพเป็นย่านที่แออัดแต่แม่ของเขาก็ปลูกต้นไม้จัดเป็นสวนไว้บนดาดฟ้า ทำให้เขตแดนได้ซึมซับธรรมชาติจากสวนดาดฟ้าของแม่ ด้วยความที่เขตแดนสนิทกับพ่อมากจึงได้ตามพ่อไปดูสถานที่ก่อสร้างสนามบิน และเขตแดนก็ได้รู้ว่าการใช้พื้นที่ของหมู่บ้านน้ำใสก่อสร้างสนามบินเกิดปัญหาขึ้นมากมายจากกลุ่มคนที่ต่อต้านการสร้างสนามบิน และกลุ่มคนที่สนับสนุนให้มีการก่อสร้างสนามบิน เขตแดนจึงได้เสนอกับครูผู้สอนที่เป็นแกนนำกลุ่มต่อต้านว่าให้มีการประชุมหาข้อสรุปกับบริษัทของพ่อเขาและเขาก็ได้เชิญแกนนำกลุ่มที่สนับสนุนให้มาเข้าร่วมประชุมหาข้อสรุปพร้อมกันโดยที่การประชุมนั้นต้องเป็นไปอย่างสงบไม่มีปากเสียงกัน แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าบริษัทของพ่อเขตแดนสามารถดำเนินการก่อสร้างสนามบินได้โดยที่ต้องส่งผลกระต่อธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านน้ำใสน้อยที่สุดหรือไม่ส่งผลกระทบเลยก็ยิ่งดีและต้องฟื้นฟูธรรมชาติและระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายแล้วการสร้างสนามบินในหมูบ้านน้ำใสก็ดำเนินไปด้วยดีพร้อมกับมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ขึ้นรอบบๆบริเวณสนามบินมีความเจริญเข้ามามากขึ้นแต่ธรรมชาติของชาวบ้านก็ยังคงอยู่
แง่มุมที่1 การเดินเรื่อง
ผู้เขียนสามารถเดินเรื่องได้ดีโดยใช้ตัวละครเด็กชายเขตแดนในการสื่อให้ผู้อ่านคิดตามได้และมีความตระหนักถึงธรรมชาติที่สวยงามที่ต้องถูกทำลาย ผู้เขียนยังได้ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของการใช้ชีวิตระหว่างคนในเมืองใหญ่และคนในชนบทให้เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ชีวิตและความหวงแหนธรรมชาติโดยที่ไม่ยอมให้มีการก่อสร้างสนามบิน
แง่มุมที่2 บทร้อยกรองกลบท (สำนวนภาษา)
ผู้วิพากษ์คิดว่าผู้เขียนใช้สำนวนภาษาในการเขียนได้ดีอ่านง่ายอ่านเข้าใจ ไม่มีการใช้สำนวนไทยโบราณเข้ามาเขียนจึงทำให้นวนิยายเล่มนี้เหมาะสำหรับเด็กวัยเรียนมากกว่า
แง่มุมที่3 การบรรยาย
ผู้เขียนให้ตัวละครเด็กชายเขตแดนเป็นตัวส่งผ่านความคิดความรู้สึกมาให้ผู้อ่านทำให้ผู้วิพากษ์อ่านแล้วรู้สึกคิดตาม รู้สึกเข้าใจในการที่ไม่อยากให้พ่อทำลายธรรมชาติที่สวยงามของหมู่บ้านน้ำใส ดังนั้นผู้วิพากษ์คิดว่าผู้เขียนบรรยายได้เข้าถึงอารมณ์ของความรู้สึกที่จะอยากจะรักษาธรรมชาติไว้ไม่ให้มนุษย์ทำลาย
แง่มุมที่4 ประวัติตัวละคร
ในเรื่องมีการเล่าถึงประวัติของตัวละครอบครัวของเด็กชายเขตแดนที่ต้องเสียแม่ที่มีความรักต้นไม้และธรรมชาติสีเขียว และแม่ของเด็กชายเขตแดนได้ปลูกฝังความรักธรรมชาติไว้ให้ลูกชายก่อนจะจากไปเพราะโรคร้ายประวัตินี้ทำให้สอดแทรกเข้าเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดีเพราะตัวละครหลักคือเด็กชายเขตแดนรักธรรมชาติเหมือนแม่แต่ก็เข้าใจพ่อผู้เป็นวิศวะกร แต่ในความคิดของผู้วิพากษ์คิดวาเด็กชายเขตแดนเป็นเด็กฉลาดชอบคิดกล้าถามกล้าแสดงออกทางความคิดเป็นเด็กที่โตเกินไวทำให้ผู้วิพากษ์หรือผู้ที่ได้อ่านต้องคิดตามตลอดเวลาอ่านทำให้ไม่น่าเบื่อเมื่อได้อ่าน
แง่มุมที่5 ตัวละคร

ตัวละครในเรื่องผู้เขียนบรรยายได้ดีวางตัวละครได้ดีเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องมีปัญหาที่เกิดขึ้นของเนื้อเรื่องก็ใช้ตัวละครต่างๆที่วางไว้มาเสนอความคิดต่างๆได้ดี จึงทำให้นวนิยายเรื่องนี้มีการวางแผนโดยใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาที่ขัดแย้งระหว่างตัวละครกลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่งได้ดี

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กาหลมหรทึก

วิพากษ์หนังสือ



หนังสือเรื่อง : กาหลมหรทึก
ผู้เขียน : ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์
พิมพ์ที่ : สายธุรกิจโรงพิมพ์ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิงชิ่ง จำกัด
วิพากษ์โดย : นางสาว พิจิตรา จีนากุล

          กาหลมหรทึกเป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัลนายอินอะวอร์ด แนวสืบสวนสอบสวน ประจำปีพุทธศักราช 2557 หนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ การสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญทั่วพระนครและจังหวัดธนบุรี โดยเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องหลายคดี มีการวางแผนการนำเสนอได้อย่างรัดกุม และเล่าถึงการวางแผนการคลี่คลายคดีอย่างเป็นลำดับขั้นตอน มีการนำเสนอเป็นรูปภาพ หรือบทกลอน โดยมีเบาะแสสืบสวนจากรอยสักปริศนา 5 คำ บนตัวของผู้ตาย ที่บริเวณเหนือหน้าผาก ข้อมือ และข้อเท้าทั้งสองข้างของผู้ตาย อันเป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ตัวละครแต่ละตัวจะค่อยๆเผยความจริงบางอย่างขึ้น ในการสืบสวนคดี มีการสอดแทรกประวัติศาสตร์ไทยเข้ามาเป็นระยะ ผู้เขียนพิถีพิถันในการเขียนเล่าเรื่องราวอย่างละเอียด และที่สำคัญผู้เขียนใช้ภาษาที่นำบทร้อยกรองกลบทมาประกอบในเรื่อง เลือกบรรยากาศและช่วงเวลาการเดินเรื่องได้อย่างโดดเด่น และใช้วรรณศิลป์ทางภาษาเล่าเรื่องได้อย่างชัดเจน

          แง่มุมที่ 1 การเดินเรื่อง ( การผูกปม คลายปม )
                   ในความคิดของผู้วิพากษ์ ผู้เขียนสามารถเดินเรื่องได้เป็นอย่างดี น่าสนใจ ลุ้นระทึกให้อ่านต่อ สามารถเขียนการผูกปมหรือขั้นตอนต่างๆในการวางแผนคดีฆาตกรรมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในเรื่องผู้เขียนเล่าเรื่องราวเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องถึง 5 คดี ซึ่งในแต่ละคดีมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะการวางแผนในการคิดคำนวณอย่างมาก สำหรับการคลายปมในตอนท้ายก็สามารถโยงใยให้ถึงคามเกี่ยวข้องของคดีฆาตกรรมอย่างแยบยล แต่ในท้ายของเรื่องการเฉลยตอนจบผู้วิพากษ์มีความเห็นว่าดูรีบร้อนจบเกินไป เมื่อเทียบกับการพยายามปูเรื่องในตอนแรก

          แง่มุมที่ 2 บทร้อยกรองกลบท ( สำนวนภาษา )
                   มีการบรรยายคำโบราณไทยอย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ผู้วิพากษ์เห็นว่าการนำศาสตร์ทางวรรณศิลป์และงานจิตรกรรมมาใช้ในการคลี่คลายคดีฆาตกรรม ทำให้นวนิยายเล่มนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากนวนิยายเล่มอื่นๆ มีการใช้สำนวนภาษาที่สละสลวย

          แง่มุมที่ 3 การบรรยาย ลุ้นระทึก สยองขวัญ
                   ผู้เขียนสามารถบรรยายเล่าเรื่องได้เห็นภาพชวนขนหัวลุก บรรยายได้ถึงความน่าตื่นเต้น ความสยองขวัญได้เข้าถึงอารมณ์ ลุ้นระทึกกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

          แง่มุมที่ 4 ประวัติศาสตร์
                   ในเรื่องมีการอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ไทยไว้หลายจุด สอดแทรกเข้ากับเนื้อหาได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้ทราบถึงประติศาสตร์หลายๆอย่าง เช่น ประวัติศาสตร์ย่านสำเพ็ง ประวัติศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น แต่ในความคิดของผู้วิพากษ์เห็นว่าการนำเอาประวัติศาสตร์เข้ามามากเกินไปอาจทำให้ดูน่าเบื่อ บางทีก็อ่านข้ามๆไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้นวนิยายเล่มนี้น่าอ่านน้อยลงเลย

          แง่มุมที่ 5 ตัวละคร
                 บทบาทตัวละครผู้เขียนสามารถเขียนบรรยายบุคลิกลักษณะของแต่ละตัวละครได้เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่อง มีการวางแผนและคิดว่าควรมีลักษณะบุคลิกเหมาะสมกับสถานการณ์ไหนหรือเหมาะสมกับตัวละครตัวไหนได้เป็นอย่างดี